วันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

การศึกษาไทยบนปีกผีเสื้อ

          หลังจากที่มีการประกาศยกเลิกทรงผมนักเรียนชาย-หญิง จากเดิมที่ตัดเกรียนและสั้นเสมอหู มาเป็นตัดรองทรงและให้เลือกผมสั้นหรือผมยาวแล้ว นักเรียนไทยก็ได้ดีใจกันอีกครั้งเมื่อกระทรวงศึกษาธิการประกาศให้ครูลดการบ้านเด็กพร้อมลดการสอบลง จนเกิดเป็นประเด็นร้อนที่มีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยคอยถกเถียงกันหนาหู

            หลายคนมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กๆ ทำไมไม่เอาเวลาไปแก้ปัญหาสังคมที่เกลื่อนเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด แต่จะมีสักกี่คนที่มองเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กๆที่ส่งผลต่อเนื่องไปยังสังคมเป็นวงกว้างได้ เหมือนกับสุภาษิตจีนที่ว่า เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาวหรือ Butterfly Effect นั่นเอง



Butterfly Effect คืออะไร

          หลายคนน่าจะพอคุ้นหูกับคำว่า ผีเสื้อขยับปีกหรือ Butterfly Effect อยู่บ้าง ซึ่งที่มาของคำคำนี้มาจาก เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน ลอร์เรนซ์ นักวิทยาศาสตร์ และนักอุตุนิยมวิทยาชาวสหรัฐ ผู้บุกเบิกทฤษฎีโกลาหล (Chaos Theory) ในยุคแรกๆ



ผีเสื้อขยับปีกเป็นวลีง่ายๆ ที่ใช้อ้างถึงทฤษฎีโกลาหล ซึ่งมีความละเอียดทางเทคนิคทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อนและเข้าใจยาก โดยตัวทฤษฎีเองกล่าวถึง ตัวแปรเล็กน้อยที่เป็นเงื่อนไขแรกของระบบที่เชื่อมโยงกันเป็นทอดๆ อาจส่งผลต่อตัวแปรขนาดใหญ่ในพฤติกรรมระยะยาวของระบบได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เมื่อผีเสื้อขยับปีกหนึ่งครั้งอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในบรรยากาศ ซึ่งสุดท้ายแล้วจะส่งผลให้เกิดพายุทอร์นาโด เท่ากับว่า การขยับของปีกผีเสื้อ แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยในเงื่อนไขของระบบนิเวศ แต่ส่งผลให้เกิดเหตุการณ์ต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ที่นำไปสู่ปรากฏการณ์ขนาดใหญ่

แล้ว Butterfly Effect เกี่ยวอะไรกับการที่เด็กนักเรียนไทยจะมีการบ้านให้ทำน้อยลง?




ปีกผีเสื้อที่เริ่มขยับไหว

เหตุเกิดขึ้นในวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2556 เมื่อนาย ชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) เปิดเผยหลังการประชุมผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ว่าจะมีการปฏิรูปหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2544 ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2551 ตามนโยบายของนาย พงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศึกษาธิการ ได้กำหนดระยะเวลาดำเนินการ 2 ระยะ ในระยะที่ไม่เร่งด่วนจะพิจารณาเรื่องมาตรฐานและตัวชี้วัดหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งเปรียบเทียบเนื้อหาและเวลาเรียนของประเทศไทยกับประเทศอื่นๆ รวมถึงจะหยิบประเด็นที่มีนักวิชาการวิจารณ์ว่าเนื้อหาในการเรียนมีความซ้ำซ้อนกันมาหารือด้วย

ส่วนนโยบายระยะเร่งด่วนคือการลดภาระของนักเรียนจากการบ้านในห้องเรียน ซึ่ง สพฐ.จะเน้นบูรณาการทั้งเนื้อหา เวลาเรียน การวัดและประเมินผล ตลอดจนการบ้าน ให้มีการบูรณาการทุกกลุ่มสาระวิชา รวมทั้งลดภาระงานของนักเรียนด้วย เพราะที่ผ่านมาเด็กไทยต้องทำการบ้านเยอะมาก ทำให้เกิดความเครียด โดยถือเป็นนโยบายเร่งด่วนที่จะทำให้ทันเปิดภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2556

และนโยบายเร่งด่วนนี้เองที่จะเปรียบได้กับปีกเล็กๆของผีเสื้อที่เริ่มขยับไปมา เป็นเพียงประเด็นเล็กๆในสังคมที่หลายคนเห็นว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะปรับเปลี่ยนในจุดนี้

แต่สิ่งใดจะตามมาหลังจากที่ผีเสื้อเริ่มขยับปีก?



สายลมที่เริ่มแปรปรวน

          ข้อถกเถียงเรื่องการลดการบ้านและการสอบยิ่งหนาหูขึ้นทุกที ยิ่งถกเถียงกันมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งแตกประเด็นออกไปมากขึ้นเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นประเด็นในเรื่องความเครียดของเด็ก ความสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียน หรือแม้กระทั่งคำนิยามของการบ้าน

            ในปัจจุบันแล้ว ความคิดเห็นถูกแบ่งออกเป็น 3 ฝ่าย โดยมีทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยที่ลดการให้การบ้านนักเรียน ซึ่งฝ่ายที่เห็นด้วยนั้นก็ให้เหตุผลต่างๆกันออกไป โดยมากแล้วจะเน้นเหตุผลที่ว่า ทำให้เด็กมีเวลาว่างเพื่อไปอ่านหนังสือหรือทำกิจกรรมต่างๆมากขึ้น ทำให้เด็กเครียดน้อยลง

            ในขณะที่ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยก็โต้แย้งกลับมาด้วยเหตุผลที่ว่า การบ้านทำให้เด็กมีความรับผิดชอบมากขึ้น ฝึกให้เด็กได้ทบทวนบทเรียนต่างๆ และบางส่วนก็เห็นว่า ถึงลดการบ้านลงเพื่อให้เด็กมีเวลามากขึ้น แต่สุดท้ายแล้ว อย่างไรเด็กก็ไปเรียนพิเศษต่ออยู่ดี ในขณะที่เด็กบางคนก็ใช้เวลาไปเล่นเกมหรือทำกิจกรรมที่ไม่มีประโยชน์ ที่ปกติแล้วการบ้านจะลดเวลาในส่วนนี้ลง

            ส่วนอีกฝ่ายนั้นเป็นฝ่ายที่รอดูผลของนโยบายลดการบ้านนี้ต่อไปเงียบๆโดยไม่ได้แสดงออกว่าเห็นด้วยหรือไม่อย่างเด่นชัด บางคนต้องการให้ดูก่อนว่าที่ว่าลดการบ้านนั้นลดลงเท่าไหร่ ช่วยให้เด็กมีความรู้มากขึ้นหรือไม่

            ผลกระทบจากปีกผีเสื้อเล็กๆเริ่มส่งผลกว้างขึ้นทีละน้อย จนประเด็นนี้เริ่มเข้ามาเป็นที่สนใจของคนในสังคมเป็นจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ความคิดเห็นที่แตกต่างถูกนำมาแสดงตอบโต้กันอย่างต่อเนื่อง บ้างเห็นพ้องต้องกัน บ้างคัดค้านหัวชนฝา บ้างก็รอดูผลลัพธ์อยู่เฉยๆ

            สุดท้ายแล้วสายลมแห่งเหตุการณ์นี้จะพัดไปทางทิศใด?



พายุใหญ่ที่เริ่มก่อตัว

            เพราะการศึกษาคือรากฐานของอนาคต สำหรับการลดการบ้านและการสอบของนักเรียนไทยลงนี้อาจเป็นได้ทั้งการทำให้อนาคตของพวกเขารุ่งโรจน์ หรืออาจทำให้อนาคตของพวกเขาดับลงก็เป็นได้เช่นกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการวางระบบของนโยบายนี้ว่ามีคุณภาพมากแค่ไหน

            อีกทั้งบรรดาเด็กนักเรียนเหล่านี้ ในอนาคตจะเป็นผู้ที่ขึ้นมาพัฒนาบ้านเมืองและสังคมของประเทศไทยต่อไป ซึ่งมันจะดำเนินไปด้วยดีหรือร้ายนั้น ก็ขึ้นอยู่กับการศึกษาที่พวกเขาได้รับในปัจจุบัน

            ถ้าพวกเขามีความรู้ความเข้าใจในการเรียนมากขึ้นกว่าเดิม ก็เรียกได้ว่านโยบายลดการบ้านนี้ประสบผลสำเร็จ ซึ่งจะทำให้เราได้ผู้มีความสามารถที่เชื่อถือได้เข้ามาพัฒนาสังคมต่อไปในอนาคต

            แต่ถ้าหากนโยบายนี้กลับทำให้นักเรียนขาดความรู้ความสามารถมากขึ้นกว่าเดิม จะเป็นความล้มเหลวที่ใหญ่พอจะทำให้สังคมในปัจจุบันถดถอยลงไปอีก

ซึ่งหลายๆคนคงไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า นโยบายด้านการศึกษาต่างๆที่หลายคนเห็นเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยนั้น สามารถส่งผลกระทบอย่างเป็นวงกว้างในอนาคตได้เช่นเดียวกับการที่ผีเสื้อกระพือปีกแล้วก่อให้เกิดพายุตามหลักการของ Butterfly Effect

            โดยในท้ายที่สุดแล้ว นโยบายนี้จะประสบความสำเร็จหรือไม่ นักเรียนไทยจะมีความรู้ความเข้าใจมากขึ้นตามที่คาดหวังหรือเปล่า? ก็ขึ้นอยู่กับการวางระบบของนโยบายลดการบ้านนี้ แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ดูเล็กน้อยเพียงใด แต่เรื่องที่หลายคนมองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยนี้ กลับเป็นตัวแปรสำคัญในอนาคตบ้านเมืองในประเทศไทยเราเลยทีเดียว


            สุดท้ายแล้ว มันจะเป็นสายลมที่พัดมาให้ชื่นใจ หรือจะกลายเป็นเป็นพายุใหญ่ที่พัดทำลายทุกอย่าง?

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น