วันจันทร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ข้อดีของการเล่นเกมที่หลายคนมองข้าม

        เป็นที่รู้กันดีว่าบรรดาสื่อต่างๆและผู้ใหญ่หัวเก่าในประเทศเราตั้งตัวเป็นอริกับเกมขนาดไหน โดยเฉพาะสื่อที่พอมีข่าวอะไรเสียๆหายๆเกี่ยวกับเด็กและเยาวชน พี่แกเล่นนั่งเทียนเขียนโยงให้เกมเป็นแพะรับบาปเฉย

        อย่างในปีก่อนๆที่มีเด็กเสียชีวิตคาร้านคอม สื่อต่างๆประโคมข่าวเต็มที่ว่าเล่นเกมมากไปจนเสียชีวิต พอความจริงเปิดเผยว่าเป็นเด็กคนนั้นกำลังทำรายงานอยู่เท่านั้นแหละ เงิบ!!

        เพื่อไม่ให้เงิบเหมือนสื่อป่วยๆในประเทศ หรือไม่โดนคนอื่นทำหน้าเบื่อโลกใส่หลังจากนั่งบ่นว่าเกมเป็นเรื่องไร้สาระ มาดูดีกว่าว่าเกมมีประโยชน์อะไรบ้าง

        กระตุ้นความคิดสร้างสรรค์


                เกมในปัจจุบันแทบทุกเกมจะมีให้สร้างตัวละคร หรือออกแบบพื้นที่ต่างๆ ทำให้ผู้เล่นได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆได้บ่อยครั้งขึ้น แถมยังเป็นตัวสร้างแรงบันดาลใจในอีกหลายๆคนด้วยซ้ำ นอกจากนี้ยังมีผลการวิจัยออกมาแล้วด้วยว่าการเล่นเกมเป็นประจำทำให้เด็กมีพัฒนาการด้านจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์เร็วกว่าเด็กที่ไม่ได้เล่นเกม

        แก้ปัญหาต่างๆได้ดีขึ้น


                เกมหลายเกมในปัจจุบันไม่ได้สักแต่ว่าบุกหน้าลุยทื่อๆแล้วจะจบเกมได้เท่านั้น หากแต่ยังต้องมีการคิดหาทางแก้ไขปัญหาที่พบเจอด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเกมแนววางแผนการรบ ผู้ที่ชอบเล่นเกมแนวนี้จะได้ฝึกทักษะการวางแผนการในหลายๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นการวางกองกำลัง หรือยุทธวิธีต่างๆ ทำให้เป็นการฝึกสมองที่ดีไปในตัว อันเป็นผลให้ในชีวิตจริงสามารถแก้ปัญหาต่างๆได้ดีขึ้น แถมยังตัดสินใจได้เร็วขึ้นด้วย

        มนุษยสัมพันธ์ดีขึ้น


                ขึ้นชื่อว่าเป็นเกมออนไลน์ หลายๆเกมผู้เล่นจำเป็นต้องเล่นเป็นทีมเพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะ นั่นทำให้เกิดการติดต่อสื่อสารระหว่างกันในทีม ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนการเล่น หรือการแลกเปลี่ยนข่าวสารต่างๆ ซึ่งนั่นนับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการสานสัมพันธ์กับบุคคลอื่นโดยมีเกมเป็นสื่อกลาง

                แน่นอนว่า เราจะได้เพื่อนใหม่เพิ่มขึ้นอีกมากจากการเล่นเกมไม่กี่เกม

        ความจำดีขึ้น



                การเล่นเกมเป็นการทำให้สมองเราได้เปิดรับประสบการณ์ใหม่ๆเข้ามา ทำให้เกิดการกระตุ้นให้สมองส่วนความทรงจำได้ออกกำลังกาย เป็นผลให้ความจำเราดีขึ้นโดยอัตโนมัติ ซึ่งในส่วนนี้ผู้เล่นเกมหลายคนคงรู้ตัวดี

                ก็ความสามารถของตัวละครแต่ละตัวในเกมแต่ละเกมใช่ว่าจะมีน้อยซะที่ไหนกันล่ะ?

        ได้ฝึกภาษา


                เกมต่างๆส่วนมากมักเป็นภาษาอังกฤษ ทำให้ผู้เล่นในเกมนั้นๆต้องเจอกับภาษาอังกฤษอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทำให้เราจะได้เรียนรู้คำศัพท์ใหม่ๆเข้ามาเสมอๆ ดีไม่ดีอาจถึงขั้นได้ลอกเลียนสำเนียงการพูดและฝึกการฟังจากเกมบางเกมที่มีเสียงพากย์เป็นภาษาอังกฤษอีกต่างหาก ซึ่งในเกมออนไลน์หลายๆเกมไม่มีเซิฟเวอร์ในประเทศไทย เป็นเหตุให้ผู้เล่นหลายคนต้องระเห็จไปเล่นในเซิฟเวอร์ต่างประเทศ จนได้ทักษะการสื่อสารกับชาวต่างชาติมาเป็นผลพลอยได้ด้วยซ้ำ

                ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เกรด A วิชาภาษาอังกฤษของผมก็มาจากเกมนี่แหละ

        เป็นการสร้างรายได้


                ไม่ได้มีแต่นักโปรแกรมเมอร์มือโปรที่สร้างเกมขึ้นมาบริการจนเรียกรายได้เป็นกอบเป็นกำเท่านั้น ในปัจจุบันพวกเกมออนไลน์ชื่อดังต่างๆส่วนมากจะมีการจัดแข่งขันชิงเงินรางวัลกันอยู่เนืองๆ ทำให้บรรดาเกมเมอร์ผู้มีฝีมือทั้งหลายได้มีโอกาสแสดงฝีมือให้คนทั่วไปได้รู้ แถมยังได้เงินอีกด้วย

        ไปๆมาๆ การเล่นเกมดูจะมีประโยชน์กว่านั่งดูละครหลังข่าวพล็อตเดิมๆที่ผู้ใหญ่หลายๆคนติดอกติดใจซะด้วยซ้ำนะครับเนี่ย

อมตะ : วิวาทะศาสนากับวิทยาศาสตร์

        เร็วๆนี้เพิ่งมีเรื่องให้คว้าหนังสือมาอ่านเพื่อใช้ทำงานเล่มนึงครับ เลยว่าจะหยิบมารีวิวให้ได้สัมผัสกันคร่าวๆซักหน่อย


        จากตอนที่ได้งานมา ก็เลยมองๆหนังสือที่ได้รางวัลซีไรต์ไปเรื่อยๆ จนมาสะดุดตากับเล่มนี้นี่แหละครับ อ่านเกริ่มนำแล้วดูน่าสนใจดี เลยสอยมาอ่านซะเลย

        "อมตะ" เป็นผลงานของ วิมล ไทรนิ่มนวล และได้รับรางวัลซีไรต์ประจำปี พ.ศ. 2543 ครับ เนื้อหาจะเป็นการนำเอาความเป็นไซไฟอย่างการโคลนนิ่งมาผสานเข้ากับประเด็นทางพุทธศาสนาอย่างเรื่องกฎไตรลักษณ์และเรื่องของจิตมารวมไว้ด้วยกัน

        แค่เห็นพล็อตก็น่าสนใจแล้ว

        หนังสือเล่มก็ไม่หนามากครับ อ่านไม่กี่ชั่วโมงก็จบ ถือว่าเป็นหนังสือที่ดีพอสมควร มีการนำตัวละครหลักในเรื่องทั้งสองตัวมาโต้ตอบกัน โดยแนวคิดของแต่ละฝ่ายเรียกได้ว่าเป็นตัวแทนของทั้งพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์ได้เลยทีเดียว การโต้ตอบกันทางคำพูดและการกระทำของตัวละครทั้งสองตัวนี้จึงเปรียบได้กับเป็นการวิวาทะกันระหว่างความเชื่อในเรื่องพุทธศาสนากับความเชื่อในวิทยาศาสตร์นั่นเอง


        น่าเสียดายที่เนื้อหาสาระของทางฝั่งพุทธศาสนาดูเหมือนจะเป็นการจับยัดใส่ปากให้ตัวละครอ่านเอาเสียมากกว่า เลยทำให้ดูเป็นการยัดเยียดเนื้อหาให้ผู้อ่านแทน แถมยังจะทำให้ตัวละครดูไม่เป็นธรรมชาติเสียเท่าไหร่

        เหมือนคาบคัมภีร์มาพูดอย่างเดียว

        ผิดกับตัวละคนที่เป็นเหมือนตัวแทนของทางฝั่งวิทยาศาสตร์ที่มีการเสียดสี ประชดประชันความเป็นจริงในสังคมได้อย่างเจ็บแสบ บ่งบอกถึงบทบาทและแนวคิดของตัวละครได้อย่างเป็นธรรมชาติและแจ่มชัดมากกว่า

        ถ้ามองในด้านของจุดประสงค์ที่เรื่องต้องการจะสื่อ ถือว่าดีเยี่ยมครับ



        แต่ในเรื่องของความงามในการประพันธ์หรือรูปแบบการดำเนินเรื่องแล้ว ดูไม่น่าเป็นที่พอใจซักเท่าไหร่ ตัวละครที่เป็นตัวแทนของฝั่งพุทธศาสนาได้กล่าวถึงการปล่อยวางไว้มาก ทว่าบทบาทการกระทำของตัวละครตัวนั้นกลับแสดงให้เห็นถึงการยึดติดเสียอย่างนั้น

        เหมือนพวกมือถือสาก ปากถือศีล

        พอเข้าใจอยู่ว่าผู้เขียนคงต้องการให้ตัวละครมีมิติรอบด้าน มีทั้งดีและชั่ว แต่ความขัดแย้งในตัวเองขนาดนี้มันทำให้คำสอนต่างๆที่ออกจากปากของตัวละครตัวนี้ดูด้อยค่าลงไป

        เหมือนต้องการเผยให้เห็นความอ่อนแอของฝั่งศาสนา มากกว่าจะจุดประกายให้เกิดความสนใจในสิ่งที่เทศนามาทั้งเรื่อง

        ทั้งนี้ ตอนจบของเรื่องถือว่าเป็นตอนจบที่ดีตอนหนึ่งเลยทีเดียว เพราะเป็นการจบแบบให้ผู้อ่านคิดเอาเอง

        ว่าฝ่ายใดกันแน่ที่เป้นผู้ชนะ

วันอาทิตย์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Like แล้วได้อะไร!?

        เล่น facebook มานานอยู่ แต่ปัจจุบันก็ยังไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมหลายๆคนถึงให้ความสำคัญกับปุ่มเล็กๆรูปมือชูนิ้วโป้งในหน้า facebook กันนัก

        หรือมันจะมีความหมายมากกว่าการ 'ถูกใจ' ?

        ทำไมหลายๆคนถึงอยากได้ Like กันจนต้องหาวิธีต่างๆทั้งดีทั้งไม่ดีมาเรียก Like กันนัก?

        สงสัยจะกิน Like แทนข้าวกันกระมัง...


        ยิ่งปัจจุบัน วิธีให้ได้มาซึ่งจำนวน Like ยิ่งมีมากมายหลายวิธีและเพิ่มขึ้นทุกวันๆ

        ที่พบให้เห็นได้ง่ายและบ่อยที่สุด เห็นจะไม่พ้นการโพสท์ภาพต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภาพถ่ายหรือภาพวาด ซึ่งก็มีทั้งภาพจริง ภาพแต่งชนิดผ่านมาแล้ว 360 แอปฯ หรือแม้กระทั่งแอบอ้างภาพหรือผลงานของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง

        อย่างหลังนี่น่ารังเกียจมาก...

        และด้วยประเด็นการแอบอ้างภาพหรือผลงานนี้เอง ที่ทำให้ยิ่งสงสัยมากขึ้นว่า ทำไมถึงกระสันอยากได้ Like ขนาดนั้น ทั้งๆที่ภาพหรือผลงานบางชิ้นก็มีปุ่มแชร์ให้กด แต่กลับกลายเป็นเซฟมาลงใหม่แล้วแอบอ้างเป็นเจ้าของผลงานเฉย?

        สงสัยกลัวไม่ได้ Like

        เห็นมาหลายที่มาก ที่พอมีเจ้าของผลงานไปทวงถาม แต่ดันโดนผู้แอบอ้างและ/หรือบรรดาลูกหาบทั้งหลายยกเหตุผลจำพวก 'น้ำใจน่ะมีมั้ย?', 'อุตส่าห์ช่วยโฆษณานะ ทำไมไม่ขอบคุณเขาล่ะ' ฯลฯ

        พวกตรรกะป่วยประจำประเทศ...

        โดยมากแล้ว พวกหยิบยกผลงานมาแอบอ้างมักจะเป็นพวกเรียกร้องความสนใจ การมีคนกด Like เยอะ อาจหมายถึงการที่มีคนสนใจในตัวเขามากขึ้น พอเจอเจ้าของตัวจริงมาทวงก็หลบหลังลูกหาบแล้วแถข้างๆคูๆด้วยเหตุผลเพี้ยนๆที่ยกตัวอย่างไปแล้วด้านบน

        คาดว่าพวกนี้กลัวจะไม่มีคนสนใจ เลยต้องหาอะไรมาเป็นที่ยึดเหนี่ยว และ Like เองก็เป็นสิ่งนั้น



        นอกจากพวกเรียกร้องความสนใจแล้ว ยังมีอีกจำพวกหนึ่งที่ดูจะแย่กว่ากันเยอะ พวกบรรดาเพจต่างๆที่ชอบก็อปโน่นก็อปนี่มาลงโดยไม่มีเนื้อหาหรือแก่นสารเป็นของตัวเองนี่แหละ

        พวกพิการปุ่มแชร์

        พวกนี้ก็เหมือนๆกับพวกข้างต้น แต่จุดประสงค์ต่างกันมาก ซึ่งสำหรับพวกนี้แล้ว Like มีค่ามากกว่าความสนใจธรรมดา

        มันคือเครื่องมือหาเงินชั้นดี

        เพจไหนที่มีจำนวน Like เยอะ หมายความว่าเพจนั้นมีคนติดตามเยอะ ซึ่งทำให้เพจนั้นจะมีผลิตภัณฑ์หรือบริษัทต่างๆมาติดต่อให้โฆษณาสินค้าของตนผ่านหน้าเพจ และแน่นอนว่าย่อมไม่โฆษณาฟรี มีเรื่องเงินมาเอี่ยวชัวร์ๆ


        สำหรับเพจจำพวกนี้แล้ว ยิ่ง Like เยอะก็ยิ่งเก็บค่าโฆษณาได้เยอะ การปั่น Like ด้วยวิธีการต่างๆจึงเสมือนเป็นการหาผลประโยชน์เข้าตัวเองทางอ้อม

        จึงไม่น่าแปลกใจเลย ว่าทำไม Like ถึงสำคัญกับพวกนี้นัก

        และนั่นก็อาจเป็นสาเหตุของการแอบอ้างผลงานเพื่อเรียก Like โดยไม่เกี่ยงวิธี จนทำให้ผู้ผลิตผลงานแต่ละคนเริ่มท้อใจ เนื่องจากทำอะไรไม่ได้มาก ทั้งๆที่อีกฝ่ายทำผิดกฎหมายลิขสิทธิ์แท้ๆ

        สะท้อนให้เห็นความน่าเชื่อถือในระบบกฎหมายของไทยเลยทีเดียว...

Facebook พื้นที่ส่วนตัว? พื้นที่สาธารณะ?

        หลายๆครั้งที่เห็นโพสท์จำพวกระบายอารมณ์อย่างหยาบคายชนิดที่ว่าขนสวนสัตว์มาทั้งบาง หรือไม่ก็แปะรูปติดเรท ตั้งแต่เรื่องทางเพศไปจนถึงภาพศพชวนสยอง(อย่างหลังนี่หลอนจริง) ครั้นพอมีคนเข้าไปเตือนก็โดนฟาดกลับมาในทำนอง 'ก็นี่มันเฟสบุ๊กของฉัน มันเป็นพื้นที่ส่วนตัวของฉัน แล้วจะมายุ่งทำไม'

        ก็ไม่อยากจะยุ่งหรอกครับคุณพี่ ถ้าภาพศพสุดสยองของในหน้าเฟสบุ๊กของคุณพี่ไม่โผล่มารบกวนจนแทบกินข้าวไม่ลงแบบนี้น่ะนะ...

       

        เฟสบุ๊กมันจะเป็นพื้นที่สาธารณะนับตั้งแต่ที่มีปุ่มให้กดแชร์แล้วล่ะครับ ถ้าอยากให้เป็นส่วนตัวจริงๆก็กดปรับให้เป็น only me สิ โพสท์เองเสพเอง ไม่เดือดร้อนไปขึ้นหน้าฟีดข่าวของใครด้วย

        แต่ที่ไม่ทำนี่ คงเป็นเพราะอยากได้คนกด Like รึเปล่าครับ?

        ถ้าใช่ ก็ควรต้องยอมรับว่าสิ่งที่โพสท์ไปนั้นมันเป็นพื้นที่สาธารณะที่คนอื่นๆสามารถเห็นได้ และก็ควรยอมรับด้วยว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะชอบสิ่งที่โพสท์ไปทั้งหมด

        โดยเฉพาะพวกภาพกิจกรรมทางเพศ หรือเล่น role play ติดเรทกัน มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะมาโพสท์ประเจิดประเจ้อชนิดประกาศให้ชาวโลกรับรู้อะไรขนาดนั้น

        "กาลเทศะ" สะกดให้ถูกให้เป็นด้วย ไม่ใช่มาอ้างมาแถจนสีข้างสึกประหนึ่งเด็กไร้สมองว่าเป็นพื้นที่ส่วนตัว

        พื้นที่ส่วนตัวป๊ะอะไร คนเห็นกันทั้งประเทศ


        ถ้าอยากให้เป็นพื้นที่ส่วนตัวจริงๆ มันก็มีให้ปรับครับ แถมกลุ่มลับอะไรพวกนี้ก็มี ลากพวกที่มีความชอบเหมือนๆกันเข้ากลุ่มไปเลยสิ แล้วทีนี้อยากโพสท์อะไรก็โพสท์ในกลุ่มไปเลย ไม่มีใครเห็นนอกจากคนในกลุ่ม ไม่มีใครมาท้วงติงแน่ ถ้าไม่ลากผิดคนน่ะนะ

         ถ้าให้สรุปก็ขอสรุปง่ายๆเลยว่า Facebook เป็นพื้นที่สาธารณะเชิงตั้งค่าครับ มันตั้งได้ว่าจะให้เป็นส่วนตัวหรือสาธารณะ

        แต่ถ้าเกิดคุณพี่ตั้ง Public แล้วบอกว่าเป็นพื้นที่ส่วนตัวนี่ก็ แนะนำให้ไปพบจิตแพทย์เหอะครับ

        ถ้าไม่มีปัญหาทางจิต ก็คงล้มเหลวด้วนตรรกะแน่นอน...

วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Paint tool SAI : โปรแกรมวาดรูปสุดสะดวก

        ด้วยความที่ไม่ได้วาดรูปสวยหรืออะไรมากนัก เอาแต่วาดเล่นๆเป็นงานอดิเรกมากกว่า ก็เลยไม่คิดจะซื้อเมาส์ปากกามาใช้งานเหมือนนักวาดคนอื่นๆ อาศัยวาดลงกระดาษแล้วถ่ายลงคอมพิวเตอร์เอา แต่กลับกลายเป็นว่าภาพไม่ชัด เส้นไม่คม ดูยากซะงั้น เลยต้องหาโปรแกรมมาช่วยตัดเส้นบ้างอะไรบ้าง

        จะใช้ Photoshop ก็ดูจะลูกเล่นเยอะเกินจะทำความเข้าใจไปหน่อย แถมหนักเครื่องอีกต่างหาก หาไปหามาก็เจอโปรแกรม SAI เข้า

        ไม่คิดว่าจะเจอโปรแกรมวาดรูปที่ขนาดไฟล์เล็กขนาดนี้ ใช้ไปใช้มาซักพัก ติดใจ เลยว่าจะมาแนะนำซักหน่อย

        โปรแกรมนี้หน้าตาไม่ยุ่งยากครับ เรียบง่ายประมาณนี้เลย


        ลูกเล่นต่างๆอาจไม่เยอะเท่า Photoshop เพราะเป็นโปรแกรมที่เน้นด้านการวาดภาพล้วนๆ ไม่ได้ถึงขนาดใช้ตัดหรือตกแต่งภาพได้ขนาดนั้น อุปกรณ์ใน SAI ส่วนใหญ่จึงเป็นพวกขีดๆเขียนๆ ระบายสีซะเยอะ

        และด้วยความที่ลูกเล่นไม่เยอะนี่เอง มันเลยเป็นโปรแกรมที่ใช้งานได้สะดวกสุดๆ

        ...เสียดายที่มันไม่ฟรี แต่ถ้าใครไม่อยากเสียงตังก็ไปหาโหลดตัวแครกกันเอาเองนะครับ ณ จุดนี้...

        สำหรับโปรแกรมนี้มีข้อดีตรงที่มีเลเยอร์ไว้สำหรับลากเส้นโดยเฉพาะ ทำให้พวกไม่มีเมาส์ปากกาในการวาดรูปอย่างเราๆก็สามารถตัดเส้นให้ดูมีน้ำหนักได้เหมือนกัน (ถึงแม้ว่าจะใช้เวลาเยอะกว่าเมาส์ปากกาอยู่โขก็ตาม แต่ก็ดีกว่าทำไม่ได้ใช่มั้ยล่ะ!?)


        อย่างภาพข้างบนนี่ ถ้าให้ผมใช้เมาส์ปากกาเพียวๆ ไม่มีเลเยอร์ตัดเส้นช่วย ไม่ได้ขนาดนี้แน่นอน!!

        นอกจากนี้แล้ว สิ่งที่ SAI ทำได้แต่โปรแกรมอื่นทำไม่ได้ นั่นคือ SAI ยังสามารถเอียงกระดาษไปมาเพื่อให้ง่ายต่อการวาดรูปหรือลงสีด้วย ซึ่งถึงแม้ว่าโปรแกรมอื่นจะทำได้ก็ตาม แต่จะเป็นการเอียงแล้วเอียงเลย กลับเหมือนเดิมไม่ได้

        นั่นทำให้อะไรหลายๆอย่างง่ายขึ้นทีเดียว

        ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ถือโอกาสแปะผลงานที่วาดด้วยโปรแกรม SAI ไว้ตรงนี้เลยละกัน


        นอกจากนี้ SAI ยังสามารถเซฟเก็บเป็นไฟล์ .psd ไว้ลงสีหรือแต่งรูปต่อใน Photoshop ได้อีกด้วย

        สะดวกดีสุดๆ

Interstellar : ทฤษฎีทางฟิสิกส์ที่เรียงร้อยกันเป็นเรื่องราว

        เร็วๆนี้ผมเพิ่งได้ไปชม Interstellar มา เลยอยากจะมาฝอยให้หลายๆคนได้รู้กันหน่อย ถึงสิ่งที่ควรรู้ก่อนจะไปดู Interstellar ไม่งั้นรับรองได้... ดูไปงงเต้กแน่ครับ

        จาก 'ฝันซ้อนฝัน' ในอินเซปชั่น ผู้กำกับคริสโตเฟอร์ โนแลนได้แสดงผลงานอีกครั้งใน Interstellar ที่ผมขอนิยามตามในเว้ฐผู้จัดการบ้างว่าเป็น 'เวลาซ้อนเวลา'

        จากชื่อเรื่อง มั่นใจว่าทุกคนคงรู้อยู่แล้วว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะพาเราออกสู่อวกาศอันกว้างใหญ่อย่างแน่นอน ทว่า การจะเดินทางสู่อวกาศนั้นไม่ได้ทำได้ง่ายๆชนิดเดินออกไปเปิดประตูหน้าบ้านแล้วเจอดาวเสาร์แน่ๆล่ะ มันมีทฤษฎีมากมายที่เราควรรู้ก่อนออกสู่อวกาศไปพร้อมๆกับเรื่องนี้

        1. ทฤษฎีรูหนอน (Wormhole)


                อย่าเพิ่งไปนึกถึงรูที่มีหนอนยั้วเยี้ยอาศัยอยู่ภายในหรืออะไรทำนองนั้นเชียว รูหนอนในที่นี้ เรียกง่ายๆว่าเป็นทางลัดในอวกาศครับ 

                ลองนึกภาพว่าอวกาศเป็นกระดาษซักแผ่น แล้วเราทำเครื่องหมายไว้ที่ครึ่งบนและครึ่งล่างอย่างละที่ เราจะพบว่ามันห่างกันมาก ถ้าเปรียบว่ากระดาษทั้งแผ่นนั้นคืออวกาศ แต่เราลองพับกระดาษให้เครื่องหมายทั้งสองจุดอยู่ทับกันพอดี แล้วเอาดินสอแทงทะลุเข้าไปสิครับ นั่นแหละรูหนอน เปรียบง่ายๆ มันก็ประหนึ่งประตูวิเศษของโดราเอมอนนั่นเอง

        2. ขอบฟ้าเหตุการณ์ (Event Horizon)


                แน่นอนว่าหลายๆคนคงรู้จักหลุมดำกัน ซึ่งเจ้าขอบฟ้าเหตุการณ์นี่ก็เป็นอะไรที่ใกล้ตัวหลุมดำสุดๆนั่นแหละครับ ก็จะไม่ให้ใกล้ได้ยังไง ในเมื่อมันคือรัศมีของแสงที่หนีไม่พ้นหลุมดำนั่นเอง

                เพราะว่าแสงไม่สามารถหนีรอดออกมาจากหลุมดำได้ ทำให้เรามองไม่เห็นใจกลางของมัน เราจึงเรียกมันว่าหลุมดำ ส่วนขอบฟ้าเหตุการณ์นี้เป็นสิ่งที่เกิดอยู่รอบหลุมดำอันเนื่องจากแรงดึงดูดอันมหาศาลของมัน ทุกสิ่งที่ก้าวเข้าไปในขอบฟ้าเหตุการณ์นี้ เวลาจะช้าลงจนกระทั่งหยุดนิ่ง แสงนับล้านปีจะอัดตัวกันอยู่ในนั้น เรียกได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์ของหลุมดำก็ว่าได้

        3. เวลาที่ไม่เท่ากัน


                เวลาบนโลกกับเวลาในอวกาศนั้นไม่เท่ากันครับ โดยเวลานั้นจะขึ้นอยู่กับแรงโน้มถ่วงและความเร็ว เราจะเห็นได้ชัดเจนเลยว่านักบินที่เดินทางกลับจากอวกาศจะแก่ช้ากว่าคนบนโลก หรืออีกตัวอย่างก็คือ นาฬิกาในกระสวยอวกาศนั้นจะช้ากว่านาฬิกาอ้างอิงบนโลกด้วย

                โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยิ่งแรงโน้มถ่วงสูงเท่าไหร่ เวลาก็จะยิ่งช้าลงครับ และนั่นเองที่ทำให้เวลาในขอบฟ้าเหตุการณ์เดินช้าลงจนถึงหยุดนิ่ง แรงดึงดูดอันมหาศาลของหลุมดำคือคำตอบ

        4. มิติที่ 5


                สำหรับเราๆทั้งหลายแล้ว โลกเรามีเพียง 3 มิติเท่าที่รู้จักกัน อันได้แก่ สูง กว้าง และลึก สินะครับ หากแต่ในทางวิทยาศาสตร์แล้ว ได้มีการเพิ่ม เวลา เข้ามาเป็นมิติที่ 4 ด้วย ทั้งนี้ ในทางฟิสิกส์แล้ว มิติมีมากกว่านั้นครับ โดยในภาพยนตร์ได้มีการเพิ่มมิติที่ 5 ขึ้นมา ถ้ามองง่ายๆก็เป็นมิติที่เราสามารถมองย้อนกลับไปยังอดีตได้ ซึ่งในภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ประยุกต์เอาทฤษฎีเส้นเชือกมาใช้ในนี้เพื่อส่งผ่านข้อความกลับไปด้วยนั่นเอง

        ปัจจุบันสร้างอดีต ก่อนที่จะเปลี่ยนอนาคต
        เป็นอะไรที่นิยามคำว่า เวลาซ้อนเวลา ได้ตรงตัวที่สุดเท่าที่ผมให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้แล้วล่ะครับ

        คุ้มค่าจริงๆที่ได้ดู :)

เขียนนิยายง่ายๆด้วย yWriter

        อยู่ดีไม่ว่าดี งานก็มีแต่ไม่มีอารมณ์ทำ อยากเขียนนวนิยายมากกว่า เลยเปิด Word หรือ Notepad ขึ้นมา แต่แหม่... จำตัวละครไม่ได้ เรียงฉากไม่ถูก สับสนว่ากำลังบรรยายในมุมมองใครอยู่

        อืม... ปัญหาเยอะดี

        บางที Word หรือ Notepad มันก็ไม่เหมาะกับการเขียนนวนิยายยาวๆจริงนั่นแหละ แต่ปัญหาทุกอย่างแก้ได้ด้วยโปรแกรมนี้เลยครับ


        yWriter!!

        อย่าเผลอเห็นชื่อแล้วคิดว่าเป็นโปรแกรมแต่งนวนิยายสาย Y เชียวล่ะครับ มันแต่งได้หมดทุกประเภทนั่นแหละ

        โปรแกรมนี้เป็นโปรแกรมเพื่อการแต่งฟิกชั่นหรือนวนิยายต่างๆโดยเฉพาะ ซึ่งแน่นอนว่าลูกเล่นมันเยอะกว่า Word ชัวร์ๆ

        พูดไปก็ไม่เห็นภาพ เปิดโปรแกรมเลยดีกว่าครับ โดยหน้าตาโปรแกรมเริ่มแรกที่เปิดมาก็จะประมาณนี้


        เห็นเป็นภาษาอังกฤษทั้งดุ้นแบบนี้ก็อย่าเพิ่งตกใจไป ฟิคภาษาไทยก็ยังเขียนได้อยู่ แต่อาจใช้งานฟังก์ชันบางตัว เช่น ตรวจคำผิด หรือ อ่านออกเสียง ไม่ได้ก็เท่านั้นเอง

        ที่เห็นในแถบด้านซ้ายนั่นเป็นรายชื่อ Chapter ต่างๆที่เราเขียนไปแล้วครับ ทำให้ง่ายต่อการลำดับเรื่องราวต่างๆ

        ขวาบนนั่นคือช่องตารางลำดับสิ่งต่างๆที่ปรากฏในตอนหรือ Chapter นั้นๆครับ โดยมีตั้งแต่ Scene(ฉาก), Character(ตัวละคร), Locations(สถานที่) หรือแม้กระทั่ง Items(อุปกรณ์)ต่างๆที่ปรากฏในเนื้อเรื่องก็ยังมีครับ เพื่อจะได้ไม่สับสนว่าเราเขียนไปถึงไหนแล้ว

        ส่วนขวาล่างนั้นคือเนื้อเรื่องในฉากนั้นๆครับ แถมยังสามารถเปลี่ยนไปดูพวกข้อมูลตัวละคร รายละเอียดสถานที่หรืออุปกรณ์ต่างๆที่เราจดไว้ได้ด้วย ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาเปิดไฟล์ที่จดไว้แล้วสลับหน้าจอจนวุ่นวายไปหมด

        สะดวกดีจริงๆ...

        ซึ่งตอนเรากดเพิ่มฉากใหม่เข้าไป มันจะขึ้นหน้าต่างดังนี้ครับ


        อืม... ละเอียดยิบ

        มีกระทั่งว่าเรากำลังเขียนในมุมมองของใครเลยทีเดียว

        และเผื่อบางคนกลัวสับสน 'เอ๊ะ เราเขียนถึงตรงนี้แล้ว เราต้องไปต่อที่ตรงจุดไหนนะ?' อะไรประมาณนี้ บอกได้เลยครับว่าไม่ต้องกังวล เมื่อเจ้าโปรแกรมตัวเนี้ย มันแถม StoryBoard มาให้เราได้เขียนโครงเรื่องหลักไว้ด้วย


        แจ่มจริงๆ

        นอกจากนี้ยังมีลูกเล่นอีกมากมายให้ลองได้ศึกษากันตามสะดวกครับ เช่น เปิดเสียงเวลาพิมพ์ให้เหมือนเครื่องพิมพ์ดีด เป็นต้น ซึ่งที่ว่ามานี้ล้วนเป็นแค่ตัวอย่างเบาะๆพอหอมปากหอมคอเท่านั้นแหละ

        ใครอยากได้มาใช้ คลิกลิงค์นี้ได้เลยครับ => http://ywriter.en.softonic.com/

วันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ภาษาไทยบนอินเตอร์เน็ต

        ปฏิเสธไม่ได้เลยจริงๆว่าในปัจจุบัน อินเตอร์เน็ตแทบจะกลายเป็นปัจจัยที่ 5 ของมนุษย์อยู่รอมร่อ หลายคนก้มหน้ามองหน้าจอมือถือในมือมากกว่ามองหน้าคนข้างๆเสียอีก ก็ในเมื่อการสื่อสารระหว่างกันแทบไม่จำเป็นต้องมองหน้าออกเสียงกันอยู่แล้ว ขอแค่โปรแกรมแชทกับอินเตอร์เน็ตในมือก็พอ

        แต่การระดมนิ้วจิ้มแป้นพิมพ์ธรรมดา บางทีมันไม่เร็วเท่าใจต้องการนี่สิ จะทำไงดีล่ะ? พิมพ์แบบนี้มันดูจริงจังไปหน่อย เอาไงดี? ไหนๆเขาก็ว่ากันว่าภาษาไทยมันดิ้นได้นี่นะ งั้นจับมันมาดิ้นหน่อยก็แล้วกัน

        เป็นต้นว่า...


        ควบกล้ำเหรอ? ช่างมันสิ ไม่ได้ออกเสียงซักหน่อย

                รูปแบบนี้พบได้ประจำทุกที่ คาดว่าคนพิมพ์คงรู้สึกพิมพ์ธรรมดามันช้าไป ตัดควบกล้ำทิ้งก็ประหยัดเวลาได้ตั้ง 1 ตัวอักษร คำที่พบทั่วไปก็เช่น จริง => จิง, กลัว=>กัว แหม่... ตัดออกแล้วนอกจากจะประหยัดเวลา ยังทำให้ดูน่ารัก แบ๊วๆสไตล์สวยใสไร้สมองด้วยนะ

        สะกดธรรมดามันไม่เริศ เติมควบกล้ำไปหน่อยก็แจ่มดี

                เปลี่ยน เก๋ ให้เป็น เกร๋ เปลี่ยน บ้า ให้เป็น บร้า เสียเวลาไป 1 ตัวอักษรไม่เป็นไร แค่อ่านแล้วรู้สึกถึงความดัดจริตเกินประมาณก็คุ้ม อะไรแบบนี้ ดูลักลั่นย้อนแย้งกับข้างบนดีนะ ว่ามั้ย?

        เพราะ 'ล' มันธรรมดาไป 'ร' สิ กำลังได้ที่

                ออกเสียง ล มันงั้นๆ ไม่ถึงใจ เปลี่ยนเป็น ร ดีกว่า อ่านแล้วรู้สึกรัวลิ้นสะใจดี นี่ไง เปลี่ยนจาก แล้ว ให้เป็น แร้ว ฟังดูเริศกว่าเยอะ แค่ ล มันไม่ถึงใจ

        เขียนทั่วๆไปมันไม่แบ๊ว เปลี่ยนสระหน่อยน่าจะดี

                เมื่อแบบเดิมๆมันดูน่าเบื่อไปหน่อย อยากให้ดูน่ารักใสๆไร้สมองกว่านี้นี่ ทำไงดีนะ? เปลี่ยนสระมันเลยละกัน จาก คิดถึง ให้เป็น คิดถุง อืม... ดูปัญญาอ่อนดี แบบนี้สิกำลังน่ารัก

        หัวเราะธรรมดาเหรอ ช้าไปไม่ถึงอารมณ์

                กว่าจะพิมพ์เสร็จ หมดอารมณ์ขันไปละ ไหนๆก็พ้องเสียงกัน 555 ไปเลยดีกว่า อ๊ะ! แต่ถ้าเป็นผู้หญิงมันต้องดูเรียบร้อยหน่อย งั้นเติมจริตเข้าไปอีกนิด เป็น ฮิฮิ หุหุ แทนก็แล้วกัน

        ว่ากันว่ารูปเดียวแทนร้อยความหมาย งั้นจัดเต็มเลยละกัน

                อีโมติคอนมีกี่แบบต้องใช้ให้หมด ไม่งั้นมันไม่คุ้มน่ะสิ คุยๆไปเหมือนสื่อสารภาษาใบ้ ทั้งหน้าโปรแกรมแชทมีแต่ -.-, :P, XD, <3 ฯลฯ ไม่เข้าถึงจริงๆคุยด้วยไม่ได้นะนี่


        แน่นอนว่าภาษาไทยบนอิมเตอร์เน็ตมันดิ้นไปมากกว่านี้เยอะ นี่เอาแค่ตัวอย่างเบาะๆมาเป็นน้ำจิ้มให้ลองชิมไปก่อนก็แล้วกัน เพราะระดับสูงกว่านี้ก็ไม่ใช่ว่าไม่มี แต่บางคำบางวิธีมันเกินกว่าที่จะเข้าใจจริงๆ

        ก็ไม่ได้ว่าห้ามใช้ แต่อยากให้ใช้อย่างพอเหมาะพอควร ก่อนที่คนอื่นจะอ่านแล้วนึกสงสัย ว่าสอบผ่านวิชาภาษาไทยมาได้ยังไง?

วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

How to ตัดเพลงแบบง่ายๆ

        หลายคนคงปวดหัวกันพอสมควรเวลาต้องการตัดเพลงอะไรสักเพลงไปใช้เป็นเสียงเรียกเข้าหรือเสียงเตือนในมือถือหรือโปรแกรมต่างๆ ชนิดที่ว่าหนักใจกันสุดฤทธิ์เมื่อคิดว่าต้องหาโหลดโปรแกรมตัดเพลงจากเว็บโน้นเว็บนี้มากมายเพื่อจะตัดเพลงสั้นๆจึ๋งเดียว ไหนจะเสี่ยงกับโปรแกรมแฝงจำพวกไวรัสอีกบานตะไท

        วันนี้เราเลยจะมาขอนำเสนอวิธีตัดเพลงฉบับง่ายแสนง่าย ชนิดที่ว่าแค่เข้าเว็บไซต์เป็นก็ทำได้กัน


        1. เข้าไปที่เว็บไซต์นี้



                แล้วเราจะได้พบกับหน้าเว็บดังนี้ครับ


        2. เลือกเพลงที่จะต้องการจากคอมพิวเตอร์ แล้วอัพโหลดซะ

                หลังจากที่เข้ามาจนเจอหน้าเว็บดังภาพข้างบนแล้ว กดปุ่มสีฟ้าโดดเด่น "Open file" ได้เลยครับ จากนั้นก็เลือกไฟล์เพลงที่ต้องการ แล้วทำการอัพโหลดโลด

                เว็บไซต์นี้ค่อนข้างเทพครับ เนื่องจากไม่จำกัดว่าต้องเป็นไฟล์เพลง mp3 เท่านั้น จะ mp4 หรือไฟล์หนัง คุณพี่ก็เปิดได้หมด ล้ำจริงๆ


                จากนั้นก็รอมันอัพโหลดครับ ถึงตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับขนาดไฟล์และคุณภาพอินเตอร์เน็ตที่บ้านของแต่ละคนกันแล้วล่ะนะ ใครเปรี้ยวอัพโหลดไฟล์หนังทั้งเรื่องขึ้นมาก็งอกรากสังเคราะห์แสงรอไปก่อนได้ครับ ไม่ว่ากัน

        3. เริ่มการตัดเพลง

                ทันทีที่โหลดเพลงที่ต้องการเสร็จเรียบร้อย ก็ได้เวลาตัดเพลงกันแล้วครับ โดยเราจะเจอหน้าจอแบบนี้ขึ้นมาแทนหน้าอัพโหลดเมื่อกี้นี้


                วิธีตัดเพลงก็ไม่ยากครับ แค่ทำการลากให้กรอบสีน้ำเงินที่เห็นให้ครอบคลุมบริเวณส่วนที่ต้องการจะตัดเพลงก็พอ ซึ่งระหว่างนั้นเพลงก็จะเล่นให้ฟังไปด้วย จะได้ตัดได้ถูกต้องตามส่วนที่ต้องการ

                หรือถ้ายากตัดแบบละเอียดยิบชนิดที่ว่านับเป็นวินาทีมันหยาบไป ใช้ปุ่มลูกศรบนคีย์บอร์ดขยับแทนก็ได้ครับ นับกันทีละ 0.1 - 0.2 วินาทีกันไปเลย

                ส่วนสวิทช์ Fade in, Fade out ที่เห็นข้างบนนั่น เลือกติ๊กได้ตามต้องการเลยครับ ว่าอยากให้เพลงมันค่อยๆดังขึ้นทีละหน่อยตอนเริ่มเพลง กับค่อยๆเบาลงตอนจะจบเพลงรึเปล่า

                ตัดเสร็จแล้วก็อย่าลืมติ๊กเลือกข้างล่างด้วยล่ะครับว่าอยากให้ไฟล์เพลงที่ตัดออกมาเป็นสกุลอะไร และถ้าอยากตัดไปเป็นเสียงเรียกเข้าในไอโฟนที่ใช้ไฟล์ mp3 ธรรมดาๆไม่ได้ เว็บไซต์นี้ก็ฉลาดจัด เตรียมปุ่มให้โดยเฉพาะเลยทีเดียว


                เมื่อเลือกส่วนที่ต้องการจะตัดแล้ว เลือกสกุลไฟล์เพลงที่ต้องการแล้ว กดปุ่ม Cut สีฟ้าสดใสข้างๆได้เลย!!

        4. ดาวน์โหลดไฟล์เพลงที่ตัดเรียบร้อยแล้วลงเครื่องโลด

                คลิกดาวน์โหลดตามลิงค์ที่มันให้มาได้เลยครับ


        แค่ 4 ขั้นตอนง่ายๆ ไม่ต้องลงโปรแกรมอะไรให้ยุ่งยากก็ตัดเพลงได้สบายๆด้วยเว็บไซต์เว็บเดียว ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลยแม้แต่น้อย จริงมั้ยครับ?

วันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

การศึกษาไทยบนปีกผีเสื้อ

          หลังจากที่มีการประกาศยกเลิกทรงผมนักเรียนชาย-หญิง จากเดิมที่ตัดเกรียนและสั้นเสมอหู มาเป็นตัดรองทรงและให้เลือกผมสั้นหรือผมยาวแล้ว นักเรียนไทยก็ได้ดีใจกันอีกครั้งเมื่อกระทรวงศึกษาธิการประกาศให้ครูลดการบ้านเด็กพร้อมลดการสอบลง จนเกิดเป็นประเด็นร้อนที่มีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยคอยถกเถียงกันหนาหู

            หลายคนมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กๆ ทำไมไม่เอาเวลาไปแก้ปัญหาสังคมที่เกลื่อนเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด แต่จะมีสักกี่คนที่มองเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กๆที่ส่งผลต่อเนื่องไปยังสังคมเป็นวงกว้างได้ เหมือนกับสุภาษิตจีนที่ว่า เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาวหรือ Butterfly Effect นั่นเอง



Butterfly Effect คืออะไร

          หลายคนน่าจะพอคุ้นหูกับคำว่า ผีเสื้อขยับปีกหรือ Butterfly Effect อยู่บ้าง ซึ่งที่มาของคำคำนี้มาจาก เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน ลอร์เรนซ์ นักวิทยาศาสตร์ และนักอุตุนิยมวิทยาชาวสหรัฐ ผู้บุกเบิกทฤษฎีโกลาหล (Chaos Theory) ในยุคแรกๆ



ผีเสื้อขยับปีกเป็นวลีง่ายๆ ที่ใช้อ้างถึงทฤษฎีโกลาหล ซึ่งมีความละเอียดทางเทคนิคทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อนและเข้าใจยาก โดยตัวทฤษฎีเองกล่าวถึง ตัวแปรเล็กน้อยที่เป็นเงื่อนไขแรกของระบบที่เชื่อมโยงกันเป็นทอดๆ อาจส่งผลต่อตัวแปรขนาดใหญ่ในพฤติกรรมระยะยาวของระบบได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เมื่อผีเสื้อขยับปีกหนึ่งครั้งอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในบรรยากาศ ซึ่งสุดท้ายแล้วจะส่งผลให้เกิดพายุทอร์นาโด เท่ากับว่า การขยับของปีกผีเสื้อ แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยในเงื่อนไขของระบบนิเวศ แต่ส่งผลให้เกิดเหตุการณ์ต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ที่นำไปสู่ปรากฏการณ์ขนาดใหญ่

แล้ว Butterfly Effect เกี่ยวอะไรกับการที่เด็กนักเรียนไทยจะมีการบ้านให้ทำน้อยลง?




ปีกผีเสื้อที่เริ่มขยับไหว

เหตุเกิดขึ้นในวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2556 เมื่อนาย ชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) เปิดเผยหลังการประชุมผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ว่าจะมีการปฏิรูปหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2544 ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2551 ตามนโยบายของนาย พงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศึกษาธิการ ได้กำหนดระยะเวลาดำเนินการ 2 ระยะ ในระยะที่ไม่เร่งด่วนจะพิจารณาเรื่องมาตรฐานและตัวชี้วัดหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งเปรียบเทียบเนื้อหาและเวลาเรียนของประเทศไทยกับประเทศอื่นๆ รวมถึงจะหยิบประเด็นที่มีนักวิชาการวิจารณ์ว่าเนื้อหาในการเรียนมีความซ้ำซ้อนกันมาหารือด้วย

ส่วนนโยบายระยะเร่งด่วนคือการลดภาระของนักเรียนจากการบ้านในห้องเรียน ซึ่ง สพฐ.จะเน้นบูรณาการทั้งเนื้อหา เวลาเรียน การวัดและประเมินผล ตลอดจนการบ้าน ให้มีการบูรณาการทุกกลุ่มสาระวิชา รวมทั้งลดภาระงานของนักเรียนด้วย เพราะที่ผ่านมาเด็กไทยต้องทำการบ้านเยอะมาก ทำให้เกิดความเครียด โดยถือเป็นนโยบายเร่งด่วนที่จะทำให้ทันเปิดภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2556

และนโยบายเร่งด่วนนี้เองที่จะเปรียบได้กับปีกเล็กๆของผีเสื้อที่เริ่มขยับไปมา เป็นเพียงประเด็นเล็กๆในสังคมที่หลายคนเห็นว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะปรับเปลี่ยนในจุดนี้

แต่สิ่งใดจะตามมาหลังจากที่ผีเสื้อเริ่มขยับปีก?



สายลมที่เริ่มแปรปรวน

          ข้อถกเถียงเรื่องการลดการบ้านและการสอบยิ่งหนาหูขึ้นทุกที ยิ่งถกเถียงกันมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งแตกประเด็นออกไปมากขึ้นเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นประเด็นในเรื่องความเครียดของเด็ก ความสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียน หรือแม้กระทั่งคำนิยามของการบ้าน

            ในปัจจุบันแล้ว ความคิดเห็นถูกแบ่งออกเป็น 3 ฝ่าย โดยมีทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยที่ลดการให้การบ้านนักเรียน ซึ่งฝ่ายที่เห็นด้วยนั้นก็ให้เหตุผลต่างๆกันออกไป โดยมากแล้วจะเน้นเหตุผลที่ว่า ทำให้เด็กมีเวลาว่างเพื่อไปอ่านหนังสือหรือทำกิจกรรมต่างๆมากขึ้น ทำให้เด็กเครียดน้อยลง

            ในขณะที่ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยก็โต้แย้งกลับมาด้วยเหตุผลที่ว่า การบ้านทำให้เด็กมีความรับผิดชอบมากขึ้น ฝึกให้เด็กได้ทบทวนบทเรียนต่างๆ และบางส่วนก็เห็นว่า ถึงลดการบ้านลงเพื่อให้เด็กมีเวลามากขึ้น แต่สุดท้ายแล้ว อย่างไรเด็กก็ไปเรียนพิเศษต่ออยู่ดี ในขณะที่เด็กบางคนก็ใช้เวลาไปเล่นเกมหรือทำกิจกรรมที่ไม่มีประโยชน์ ที่ปกติแล้วการบ้านจะลดเวลาในส่วนนี้ลง

            ส่วนอีกฝ่ายนั้นเป็นฝ่ายที่รอดูผลของนโยบายลดการบ้านนี้ต่อไปเงียบๆโดยไม่ได้แสดงออกว่าเห็นด้วยหรือไม่อย่างเด่นชัด บางคนต้องการให้ดูก่อนว่าที่ว่าลดการบ้านนั้นลดลงเท่าไหร่ ช่วยให้เด็กมีความรู้มากขึ้นหรือไม่

            ผลกระทบจากปีกผีเสื้อเล็กๆเริ่มส่งผลกว้างขึ้นทีละน้อย จนประเด็นนี้เริ่มเข้ามาเป็นที่สนใจของคนในสังคมเป็นจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ความคิดเห็นที่แตกต่างถูกนำมาแสดงตอบโต้กันอย่างต่อเนื่อง บ้างเห็นพ้องต้องกัน บ้างคัดค้านหัวชนฝา บ้างก็รอดูผลลัพธ์อยู่เฉยๆ

            สุดท้ายแล้วสายลมแห่งเหตุการณ์นี้จะพัดไปทางทิศใด?



พายุใหญ่ที่เริ่มก่อตัว

            เพราะการศึกษาคือรากฐานของอนาคต สำหรับการลดการบ้านและการสอบของนักเรียนไทยลงนี้อาจเป็นได้ทั้งการทำให้อนาคตของพวกเขารุ่งโรจน์ หรืออาจทำให้อนาคตของพวกเขาดับลงก็เป็นได้เช่นกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการวางระบบของนโยบายนี้ว่ามีคุณภาพมากแค่ไหน

            อีกทั้งบรรดาเด็กนักเรียนเหล่านี้ ในอนาคตจะเป็นผู้ที่ขึ้นมาพัฒนาบ้านเมืองและสังคมของประเทศไทยต่อไป ซึ่งมันจะดำเนินไปด้วยดีหรือร้ายนั้น ก็ขึ้นอยู่กับการศึกษาที่พวกเขาได้รับในปัจจุบัน

            ถ้าพวกเขามีความรู้ความเข้าใจในการเรียนมากขึ้นกว่าเดิม ก็เรียกได้ว่านโยบายลดการบ้านนี้ประสบผลสำเร็จ ซึ่งจะทำให้เราได้ผู้มีความสามารถที่เชื่อถือได้เข้ามาพัฒนาสังคมต่อไปในอนาคต

            แต่ถ้าหากนโยบายนี้กลับทำให้นักเรียนขาดความรู้ความสามารถมากขึ้นกว่าเดิม จะเป็นความล้มเหลวที่ใหญ่พอจะทำให้สังคมในปัจจุบันถดถอยลงไปอีก

ซึ่งหลายๆคนคงไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า นโยบายด้านการศึกษาต่างๆที่หลายคนเห็นเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยนั้น สามารถส่งผลกระทบอย่างเป็นวงกว้างในอนาคตได้เช่นเดียวกับการที่ผีเสื้อกระพือปีกแล้วก่อให้เกิดพายุตามหลักการของ Butterfly Effect

            โดยในท้ายที่สุดแล้ว นโยบายนี้จะประสบความสำเร็จหรือไม่ นักเรียนไทยจะมีความรู้ความเข้าใจมากขึ้นตามที่คาดหวังหรือเปล่า? ก็ขึ้นอยู่กับการวางระบบของนโยบายลดการบ้านนี้ แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ดูเล็กน้อยเพียงใด แต่เรื่องที่หลายคนมองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยนี้ กลับเป็นตัวแปรสำคัญในอนาคตบ้านเมืองในประเทศไทยเราเลยทีเดียว


            สุดท้ายแล้ว มันจะเป็นสายลมที่พัดมาให้ชื่นใจ หรือจะกลายเป็นเป็นพายุใหญ่ที่พัดทำลายทุกอย่าง?